การคัดซื้อที่นอนให้เข้ากับผู้สูงอายุ

โดยโดยมากคนสูงวัยจะมีท่าปวดหลัง เนื่องมาจากเกิดการเสื่อมไปตามวัยของกระดูกสันหลังพร้อมด้วยข้อต่อ จึงมักเห็นคนสูงวัยหลังคด หรือ งอ ปวดร้าวลงขา ซึ่งนับวันคนไทยจะมีอายุที่ยืนยาวขึ้น  โดยปัจจุบันนี้คนที่มีอายุยิ่งกว่า 60 ปี  คิดเป็น 9-10%ของประชากร หรือประมาณ 6-7 ล้านคน  ต้องมีการเก่าของกระดูกสันหลังเกิดขึ้น  อาจมีกิริยาท่าทางบิดเบี้ยวของกระดูกสันหลัง โก่ง คด งอ เลื่อนไปด้านหน้า ด้านข้าง หรือเนื้อที่บั้นเอว เป็นต้น การเคล้งโดยนอนบนที่นอนที่คู่ควรกับผู้สูงวัยเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยบรรเทาอาการปวดหลังของคนสูงอายุได้ โดยวิธีการเลือกซื้อที่นอนที่เหมาะสมกับผู้สูงอายุมีด้วยเหตุนี้

ความหนาของที่นอน

ความหนาของที่นอนแบ่งตามแผนกของวัสดุที่ใช้ทำที่นอนเป็นพื้น โดยในล่าสุดที่นอนจะมีความหนาอยู่ระหว่าง 6-12 นิ้ว ซึ่งความหนาที่เหมาะกับคนชรานั้นมีวิธีเลือกดังต่อไปนี้

  1. ถ้าเป็นที่นอนสปริง ควรเลือกเฟ้นที่นอนที่มีความหนามากหน่อยควรมีความหนาของที่นอนเกิน 10 นิ้วขึ้นไป

2.ถ้าเป็นที่นอนยางพารา อาจจะไม่ต้องเน้นที่ความหนามากนักเนื่องจากที่นอนยางพาราถ้ายิ่งหนาจะยิ่งมีความหนักเบามาก ยากต่อการผลัดปูที่นอน หรือย้ายถิ่นทำให้หมดจด ต่อจากนั้นความหนาของที่นอนยางพารา ไม่ควรเกิน 8 นิ้ว หรือถ้าที่นอนหนาเกิน 8 นิ้วจะต้องมีความหนักเบาพอที่จะสามารถยกเปลี่ยนผ้าปูที่นอนคนเดียวได้

ที่นอนที่เหมาะสมกับคนชรานั้นจะต้องเน้นที่นอนที่มีการเบียดเสียดหรือ Density มากหน่อย โดยแบ่งขบวนการเลือกสรรออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่นอนสปริง กับกลุ่มที่ไม่ใช่สปริง โดยมีพลความดังนี้

1.ที่นอนสปริง จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ สปริงต่อเนื่อง พร้อมกับสปริงแยกอิสระหรือ Pocket spring

  1. ที่นอนแผนกที่ไม่ใช่สปริง

 

แนวคิดปฏิบัติงานของประตูรีโมทที่เข้าใจง่ายๆ

หน้าที่ของ ประตูรีโมท เป็นทางเข้าออกที่คุมด้วยการเปิด-ปิด ด้วยรีโมทคอนโทรล ที่อาจจะใช้ร่วมกับเครื่องมือบังคับการอัตโนมัติแบบอื่นๆ ตัวอย่างเช่น คีย์การ์ด หรือไม่ก็เครื่องสแกน  ซึ่งช่วยอำนวยความง่ายดายในการเปิดเข้า-ออกของประตูได้อย่างยอดเยี่ยม เพื่อให้ช่วยทุ่นแรง และเวลา ถือได้ว่าเป็นเครื่องไม้เครื่องมือที่ช่วยในการหลีกเลี่ยงต่อการปะทะขโมยของ หรือ การขโมยรถยนต์ เมื่อลงไปเปิดประตู  ไม่ก็เสี่ยงต่อการที่มีผู้เยาว์อยู่ข้างในรถยนต์ แล้วเราลงไปเปิดทางเข้าออก เยาวชนสามารถเล่นเกีย ไม่ก็ รถยนต์ล๊อคเอง ทำเอาผู้เยาว์ติดอยู่ข้างในรถ

ประตูรีโมท  ตรงนั้นจะทำงานลั่นกลอนเองในตัว ครั้นเมื่อเคลื่อนที่ปิดแล้วไม่จำเป็นจะต้องเปลืองเวลาลงกลอนอีก เนื่องจากมีตัวรีโมทในการกำกับเป็นหลักเสมือนคือกุญแจในตัวมันเอง ซึ่งประตูรีโมทมีอยู่ด้วยกัน 2 แบบหลักๆ เป็นต้นว่า

ประตูรีโมทแบบบานเลื่อน เป็นแบบเคลื่อน   ด้วยตัวประตูรีโมทจักวิ่งอยู่บนล้อไปตามรางเหล็กเพลาที่วางใกล้กับพื้น   นับว่าเป็นการเปิดแบบขยับที่ภายในแนวที่ขนานกับพื้นแผ่นดิน และการเลื่อนเปิดแบบประยุกต์ต่างๆ   โดยต้องมีเขตหน้าบ้านที่มีความกว้างขวาง เพียงพอที่จะเก็บประตูทั้งบานได้

ประตูรีโมทแบบบานสวิง  เป็นบานทางเข้าออกสองบาน  พร้อมทั้งเปิด-ปิดภายในลักษณะของบานสวิง โดยบาน ส่วนใหญ่มักใช้กับประตูหน้าบ้านที่ไม่ค่อยมีเขตแดนด้านกว้างขวางมากนัก ประตู  เพราะว่าแต่ละบานจะโดนยึดใกล้กับหัวเสาเข็มของทั้งสองด้าน  ซึ่งมีความลึกพอเพียงที่สามารถเก็บบานประตู ที่ไม่กีดขวางการเข้า-ออก ไม่ก็การหยุดรถ

เปิดให้บริการแล้วกิจการรับจำนำรถมอเตอร์ไซค์

การรับจำนำรถยนต์ เป็นอีกโอกาสที่หลายคนนิยมใช้ กรณีมีปมการเงินขาดสภาพคล่องขับรถมาหาเราสิค่ะ www.รับจำนำรถทุกรุ่น.com เราพร้อมให้บริการ  ให้ราบรื่น แก่คุณ  ไม่ต้องง้อใคร เป็นพิเศษหากรถคันดังกล่าวไม่ได้ติดไฟแนนซ์ ถูกโอนเป็นชื่อเจ้าของงดงามแล้ว รถอยู่ในภาวะปกติ ไม่มีปัญหาอะไร การจำนำก็จะง่ายด้วยกันสะดวกปรู๊ดปร๊าด การจำนำมีหลายชนิด เช่น จำนำรถมอเตอร์ไซค์ จำนำทะเบียน จำนำจอด จำนำรถที่ยังติดไฟแนนซ์ รถยนต์ จำนำรถป้ายแดง จำนำรถกับศูนย์จำนำเถื่อน

จำนำรถกับศูนย์จำนำเถื่อน

หากคุณไปใช้ให้บริการกับศูนย์รับจำนำรถเถื่อน  เรียกชื่อเสียน่ากลัว แต่ก็เข้ามาแล้วนี่ ไม่ยอมตกเทรนหรอกค่ะ ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด ออกไปทางอีสานใต้ ไปช่องจอมนู่น ในเวลานั้นอยู่กรุงเทพนะค่ะไปไกลเหมือนกัน ศูนย์จำนำเถื่อนหรือผู้ให้บริการกระนี้จะเป็นศูนย์รับจำนำตามชายแดนมากกว่า ผู้ใช้บริการจำนวนมากจะเป็นนักลองไปเล่นการเสี่ยงโชค เงินหมด ก็จำนำรถเสียเลย เอาเงินไปเล่นต่อ รายที่มีเอกสารพร้อม ยิ่งสามารถโอนได้ ก็จะได้ราคามากกว่า บางรายสิ่งพิมพ์ไม่พร้อม ก็รับจำนำ แต่ได้เงินน้อย ราคาหลายแสนอาจจะจำนำได้ไม่กี่หมื่น หากไม่ไปรับรถในระยะเวลาที่กำหนด ไม่ส่งดอกเบี้ย ก็มีสิทธิถูกส่งเข้าประเทศเพื่อนบ้านได้สบายๆ ต้องทำใจทั้งคนจำนำกับรับจำนำ  ทางที่ดีเราสั่งสอนให้ท่านใช้บริการกับศูนย์รับจำนำที่ถูกเทศบัญญัติดีกว่าค่ะ  เสถียร  อุ่นใจ  ไม่ต้องคอยระแวงว่ารถของท่านจะวอดวาย  ทางศูนย์บริการรับจำนำรถพร้อมควบคุมรถของคุณเป็นอย่างดีถูกต้องค่ะ

วิธีเสริมสร้างพัฒนาการลูกน้อยตั้งแต่ตั้งครรภ์

การอินังขังขอบสุขภาพอนามัยขณะตั้งครรภ์และการเตรียมการความพร้อมตั้งแต่ลูกน้อยอยู่ในครรภ์นับเป็นสิ่งที่อัศจรรย์ มาก ๆ ค่ะ วันนี้http://www.dumex.co.th  ก็มีเรื่องเล่าความฉลาดดี ๆ จากนิตยสาร MODERNMOM มาฝากว่าที่คุณแม่กันค่ะ มาสร้างลูกน้อยให้มีความเจริญที่ดีตั้งแต่อยู่ในครรภ์ก่อนออกมาผจญโลกกว้างได้อย่างสมบูรณ์แข็งแรงกันดีกว่าค่ะ

ทำภาวะจิตสงบสบาย รับความผ่อนไปโดยพร้อมเพรียง

หากไม่เคยลองนั่งสมาธิมาก่อน นี่เป็นเวลาที่คุณแม่จะได้ทำกิจกรรมจัดทำที่ให้ผลกำไรทั้งตัวแม่ด้วยกันลูกไปพร้อมกัน หาเวลาสักวันละ 1 ชั่วโมง เช่น ก่อนนอน หรือตอนเช้าตรู่ ในมุมสงบของบ้านนั่งภาวะจิตสงบ ทำใจให้สงบสุข ผ่อนลมหายใจเข้าออกช้า ๆ ทิ้งเรื่องอื่น ๆ ไว้ก่อน แล้วนับลมหายใจเข้าออกแทน การทำสมาธิจะทำให้ดวงใจแม่สงบ มีความมุ่งมั่น จะมีผลต่อร่างกายคุณแม่ให้เลือดสูบฉีดปกติ หัวใจเต้นสม่ำเสมอ ส่งผลต่อสติปัญญาให้รู้สึกมั่งคง ไม่เป็นอันตรายไปด้วย

อ่านบทกลอนวันละหน่อย ลูกสมองชื่นบาน

ไม่ใช่แค่เรื่องเล่าเท่านั้นที่จะช่วยเร่งเร้าความเจริญลูกน้อย แต่เนื้อหาตระกูลบทกลอนที่มีคำเป็นจังหวะเรียงร้อยเข้าด้วยกันจะช่วยสร้างโอกาสอันควรจะโคนในการฟังให้รู้สึกสุภาพเรียบร้อยเพิ่มพูน จดจำได้ง่ายขึ้น คุณแม่ลองหาตัวอย่างกลอนที่มีเนื้อหาจัดทำ น่ารัก ๆ เช่น บทกลอนเพราะธรรมชาติเด็ก หรือความรักในวงศ์ญาติ แล้วอ่านดัง ๆ ให้ลูกฟังก่อนนอนวันละบทสองบท จะช่วยสร้างการระลึกด้านภาษา เร่งเร้าการฟัง การได้ยินตั้งแต่อยู่ในครรภ์ มีผลต่อการปรับปรุงของเซลล์สมองได้เป็นอย่างดี

แปลเอกสารเยอรมัน รวดเร็ว ทันใจ เรียกใช้บริการเราสิค่ะ

บริษัท L.O.W. Travel and Service Co.Ltd. คือศูนย์รวมบริการแปลเอกสารเยอรมันกฏเกณฑ์ระดับสูงที่รวมเหล่านักแปลมือหน้าที่สามารถให้บริการแปลไทยเป็นเยอรมัน  ยินดีให้บริการแปลทั้งแบบแปลประโยคไทยเป็นเยอรมัน กับแปลเอกสารยาวๆ ได้ทุกวันไม่มีวันหยุด ตลอด24ชั่วโมง นักแปลของเรามีความเก่งในทุกสาขาวิชาตอบสนองต่อความอยากในบริการแปลภาษาของลูกค้าผู้เข้ามาใช้บริการทั่วประเทศ ทีมงานของเราพร้อมให้บริการแปลเอกสารแก่คุณทันทีด้วยงานคุณค่าเลิศ

ไม่ว่าเอกสารของคุณจะเป็น คู่มือการใช้งาน เอกสารการตลาด รายงานประจำปี เปเปอร์ บทความ งานวิจัย หนังสือ เอกสารราชการ ฯลฯ คุณมาถูกที่แล้ว ด้วยขั้นตอนง่ายๆ ไม่ซ้อนซับ และ เร็ว เพียงแค่อัพโหลดไฟล์งานที่ตั้งใจแปลขึ้นบนระบบงานแปลอัจฉริยะของเรา คุณก็จะสามารถเลือกเฟ้นใช้บริการกับนักแปลที่สามารถแปลไทยเป็นภาษาเยอรมันในราคาที่คุณพอใจได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที

แปลประโยคไทยเป็นเยอรมัน

ในยุคปัจจุบันนี้ภาษาเยอรมันเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในทุกวงการ ทั้งทางด้านกิจการ การแพทย์ การเรียน การปกครอง ฯลฯ นอกจากนี้เกี่ยวโยงจากรายงานสถิติการศึกษาว่าด้วยภาษาที่ใช้สูงสุดบนโลกอินเตอร์เน็ต

เมื่อความพึงปรารถนาในการใช้ภาษาเยอรมันเพิ่มมากขึ้นส่งผลให้การแปลภาษาเยอรมันเป็นภาษาต่างๆ ในโลกจึงเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะคนไทยจะต้องมีสถานการณ์ที่ต้อง แปลภาษาเยอรมันเป็นภาษาไทย และแปลภาษาไทยเป็นภาษาเยอรมัน อยู่เสมอๆ เช่น การแปลภาษาไทยเป็นภาษาเยอรมัน  ในหนังสือเรียน บทความ สื่อโฆษณา แผนกิจการค้าต่างๆ ฯลฯ

บริษัท L.O.W. Travel and Service Co.Ltd.  คิดถึงความสลักสำคัญของการแปลภาษาเยอรมันเป็นอย่างมาก จึงได้เพิ่มขึ้นระบบการแปลภาษาเยอรมันออนไลน์ที่สมัยใหม่และใช้งานง่ายเพื่อให้ผู้หวังแปลภาษาเยอรมันสามารถสั่งงานแปล พร้อมด้วย ใช้บริการด้านการแปลภาษา ได้สะดวก ฉับไว โดยทีมงานนักแปลมือการยังชีพที่คุณสามารถคัดเลือกเองได้ ในราคาที่คุณเต็มอกเต็มใจและพอใจ โดยมีเราเป็นผู้รับประกันความสมปรารถนาให้กับงานที่ท่านได้รับ

 

เทคนิคในการทำความสะอาดชุดกี่เพ้า

ผ้าไหมจีน เป็นแพรพรรณที่การกำหนดนำมาตัดชุดกี่เพ้ามากที่สุด เกี่ยวด้วยสรรพคุณของเนื้อผ้าที่มีความนิ่ม ละเอียดยิบ เนื้อไหมเย็น พร้อมทั้งยังปรับสถานภาพได้ดีในทุกภาวะอากาศ เพราะเมื่ออากาศร้อน เนื้อผ้าไหมจะช่วยให้ความเย็นได้ แต่หากเป็นฤดูอากาศหนาว เนื้อผ้าไหมจะช่วยให้ให้อุ่นสบายได้เช่นกัน นั่นเป็นเพราะเส้นไหม ถือเป็นเส้นใยโปรตีนจากธรรมชาติ ส่งผลให้การรับใช้ทำความสะอาดผ้าไหม จึงต้องดูแลและใส่ใจให้ถูกวิถีทางด้วยเช่นกัน

ในอดีต เพราะผู้ที่ได้รับผ้าไหม หรือสวมชุดผ้าไหมครั้งแล้วครั้งเล่า จะมีขั้นตอนในการทำความสะอาดด้วยการใช้น้ำมะพร้าวบริสุทธิ์ หรือหากมีรอยสกปรกก็จะชำระล้างรอยสกปรกนั้นด้วยการใช้หัวหอมถู หากยุคปัจจุบันการระวังรักษาเส้นไหมนั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ ด้วยยุทธวิธี กระนี้

1.ก่อนนำผ้าไหมไปทำการตัดเย็บให้ทำความสะอาดผ้าด้วยน้ำอุ่นเพื่อชะล้างฝุ่นลออง โดยผสมน้ำกับเกลือผ้าไหมแล้วซักเบา ๆ เพื่อคุ้มครองการเกิดรอยขีดบนเนื้อผ้า

2.ในการซักผ้าไหมถูกคัดเลือกสินค้าที่ไม่ทำร้ายเส้นไหมในการทำความสะอาดเช่นสบู่อาบน้ำเด็ก สบู่ก้อนหรือน้ำยาเคมีที่ใช้ด้วยว่าซักผ้าไหมเป็นพิเศษ ที่สำคัญคือไม่ต้องใช้ผงซักฟอกและน้ำยาฟอกขาวขาดลอย เพราะจะทำร้ายเนื้อไหมให้เสียหายกับเส้นไหมเปื่อยได้

3.ไม่พึงจะใช้น้ำร้อนหรือน้ำอุ่นในการฟอกผ้าไหมเพราะจะทำให้เส้นไหมหดและเกิดรอยย่นได้

4.ไม่จำต้องแช่ผ้าไหมไว้ในน้ำยาฟอกผ้า หรือใช้แปรงขัดถูผ้าไหมแรง ๆ เพราะเป็นการทำร้ายเนื้อผ้าโดยตรง

5.ไม่ควรบิดผ้าไหมเป็นเกลียว แต่น่าจะใช้วิธีบีบไล่น้ำออกเบา ๆ

6.ไม่จงตากผ้าไหมในที่มีแดดแรง

 

เวลาที่อ่านหนังสือที่ดีที่สุดที่เราไม่รู้มาก่อน

18

เวลาที่เพื่อนๆอ่านหนังสือมักจะเป็นตอนกลางคืนใช่ไหมคะ เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ชอบอ่านตอนกลางคืน และเราก็มักจะง่วงก่อนที่เราจะอ่านหนังสือจบอยู่บ่อยๆ ว่าแต่เพื่อนๆรู้ไหมว่า จริงๆแล้วเวลาไหนเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการอ่านหนังสือ ในทางวิทยาศาสตร์ด้านสมองเขาบอกว่า การท่องหนังสือในเวลากลางคืนเป็นสิ่งที่ไม่แนะนำค่ะ เพราะว่าเวลากลางคืนเป็นเวลาที่เราควรนอนหลับ ซึ่งการนอนหลับ สมองของคนเราจะมีการจัดระเบียบความทรงจำและบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่เราตื่นนอนจนเราเข้านอนค่ะ ซึ่งการจำอะไรให้มีประสิทธิภาพ ก็จำเป็นต้องนอนให้เพียงพอด้วย ส่วนเวลาที่เหมาะสมในการจำนั่นก็คือ เวลาช่วงเช้านั่นเองค่ะ เพราะการจัดระเบียบความจำเกิดขึ้นตอนที่เรานอนหลับ เพราะฉะนั้นสมองของเราในช่วงเช้าจะปลอดโปร่ง เหมาะสำหรับการใช้งานอย่างเต็มที่ ซึ่งถ้าอ่านหนังสือช่วงนี้ได้ ก็เรียกว่าการจำก็จะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นค่ะ แถมยังเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับงานที่ต้องใช้การสร้างสรรค์หรืองานเขียนต่างๆ อีกด้วยนะ

เคยมีคนบอกว่าเวลาที่ดีที่สุดคือตอนเช้าเพราะร่างกายเราได้พักผ่อน รวมทั้งสมองก็ได้พัก มีการจัดระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้พร้อมกับการใส่ข้อมูลใหม่ ๆ เข้าไป อันนี้เป็นเรื่องจริง แต่สำหรับคนที่ตื่นเช้าไม่ไหว เวลาดึก ๆ ที่เงียบ ๆ ก็เหมาะ คือว่ามันเงียบไงสมองเราก็สามารถคิดสิ่งต่างๆ ได้ดี แต่อาจจะไม่เท่าตอนเช้า เพราะสมองเราต้องเหนื่อยจากการเรียนมาแล้วทั้งวัน บางคนยังมีการเรียนพิเศษตอนเย็นอีก สำหรับตัวเราเอง อ่านตอนกลางคืนสักนิด ได้เท่าไหนก็แค่นั้น 5 ทุ่มต้องเข้านอน แล้วก็ตั้งนาฬิกาปลุกตอนตี 3 ตี 4 ตี 5 แนะนำให้ตั้งนาฬิกาปลุกก่อนเวลาที่ต้องตื่นไปสักครึ่งชั่วโมง เพื่อที่เราจะได้มีเวลาเกลือกกลิ้งอยู่บนที่นอนก่อนสักพัก ถึงค่อยลุกไปล้างหน้าล้างตา มานั่งอ่าน ขอย้ำว่าควรทำให้ตัวเองตื่นเต็มที่ก่อนจะอ่าน เพราะไม่งั้นเดี๋ยวก็หลับคาหนังสืออีกจนได้

เวลาที่ไม่เหมาะสำหรับการอ่านหนังสือเรียนเลย คือ ช่วงบ่ายหลังจากกินข้าวเสร็จอิ่ม ๆ เคยได้ยินสุภาษิตไทยที่ว่า “พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน” ไหม ช่วงบ่ายจะเป็นช่วงที่คนเรามีความง่วงนอน อ่านไปก็หลับ ยิ่งหนังสือเรียนด้วย และไม่ควรนอนอ่านหนังสือ โดยเฉพาะบนเตียง ขอบอกว่าหลับแน่ๆ ไม่ใช่อ่านนิยายนี่ มันจะน่าติดตาม จนอยากอ่านให้จบ เรามีเพื่อนคนหนึ่ง เขาบอกว่าหนังสือเรียนคือยานอนหลับขนานเอก เห็นจะจริง อ่านไม่กี่หน้าก็หลับแล้วการอ่านควรจะเป็นในสถานที่ที่สงบ เงียบ และสมองเราพร้อมที่จะรับเรื่องใหม่ ๆ นั่นแหละการอ่านถึงจะได้ผลสูงสุด

เทคนิคการอ่านหนังสือให้เข้าใจมากขึ้น

การทำความเข้าใจและจดจำนี้ เป็นเทคนิคง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถนำไปปฏิบัติได้ ขอแต่เพียงเข้าใจและทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนนั่นคือ การหมั่นฝึกฝนตามขั้นตอนให้เกิดความเคยชินจนติดกลายเป็นนิสัยการอ่านเพื่อทำความเข้าใจนี้จะแตกต่างจากการอ่านเพียงเพื่อท่องจำ คือ
1.เวลาอ่านบทเรียนหรือตำรา ให้อ่านอย่างตั้งใจ จะหยุดอ่านเมื่อจบย่อหน้าหรือหยุดเมื่ออ่านไปได้พอสมควรแล้ว
2.จากนั้นให้ปิดหนังสือ แล้วลองอธิบายสิ่งที่ตนเองได้อ่านมาให้ตัวเองฟัง คือ สามารถอธิบายให้ตัวเองฟังด้วยภาษาสำนวนของเอง ฟังแล้วเข้าใจหรือเปล่า หากสามารถอธิบายให้ตัวเองฟังรู้เรื่อง แสดงว่าเข้าใจแล้ว ให้อ่านต่อไปได้
3.หากตอนใดอ่านแล้วแต่ไม่สามารถอธิบายให้ตัวเองรู้เรื่อง แสดงว่ายังไม่เข้าใจ ให้กลับไปอ่านทบทวนใหม่อีกครั้ง
4.หากพยายามอ่านหลายรอบแล้วยังไม่เข้าใจจริงๆให้จดโน้ตไว้เพื่อนำไปถามอาจารย์ จากนั้นให้อ่านต่อไป
5.ข้อมูลบางอย่างในตำราจำเป็นที่จะต้องท่องจำ เช่น ตัวเลข สถิติ ชื่อสถานที่ บุคคล หรือ สูตร ต่าง ๆ ฯลฯ ก็ควรท่องจำไว้ด้วย เพื่อทำให้เกิดความเข้าใจ ที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
6.การเรียนด้วยวิธีท่องจำโดยปราศจากความเข้าใจ เรียนไปก็ลืมไป สูญเสียเวลา เปล่าประโยชน์ เสียเงินทอง
7.การเรียนที่เน้นแต่ความเข้าใจ โดยไม่ยอมท่องจำ ก็จะทำให้เข้าใจเรื่องต่าง ๆ ไม่ชัดเจน คลุมเครือ
8.สรุปเทคนิคง่าย ๆ สั้น ๆ เช่น อ่านหนังสือสลับกับการอธิบายให้ตัวเองฟัง และท่องจำเฉพาะข้อมูลที่จำเป็นต้องจำจริง ๆ เช่น ตัวเลข ชื่อเฉพาะต่างๆอ่านหนังสือด้วยวิธีการนี้จะทำให้เข้าใจบทเรียนได้ทั้งเล่ม
การปล่อยให้ความตั้งใจและอารมณ์ล่องลอยไปกับความคิดที่สอดแทรกเข้ามาขณะอ่าน จะทำให้ไม่ได้รับความรู้อะไรจากการอ่านเลย ฉะนั้นจะต้องพัฒนาความสามารถโดยฝึกจิตให้แน่วแน่มุ่งความสนใจอยู่ที่หนังสือเพียงอย่างเดียว ความสามารถในการอ่านสามารถพัฒนาได้โดยการฝึกฝน ทำตามข้อเสนอแนะในการอ่านดังที่กล่าวมา ทั้งนี้ควรพยายามฝึกฝนการอ่านให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น อ่านให้ได้เร็วขึ้น เพียงเท่านี้ก็จะเป็นผู้ที่มีประสิทธิภาพในการเรียน และประสบผลสำเร็จในการศึกษาได้เป็นอย่างดี

แนะนำเทคนิควิธีการในการอ่านหนังสืออย่างนักคิด

พอพูดถึงการอ่านแล้วหลายคนถึงกับมีอาการ(ง่วงนอน) เพราะนิสัยไม่ชอบอ่านมาตั้งแต่เด็ก บางคนชอบอ่านเป็นบางครั้ง บางเรื่อง บางเวลา และบางอารมณ์ แต่ในขณะที่บางคนเป็น “หนอนหนังสือ” เห็นตัวอักษรที่ไหน เมื่อไหร่ พลาดไม่ได้จะต้องขออ่านไว้ก่อน ถ้าวันไหนไม่ได้อ่านหนังสือมันเหมือนกับชีวิตขาดอะไรบางอย่างไป และพฤติกรรมการอ่านหนังสือของแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันไปตามความชอบของแต่ละคน บางคนชอบอ่านหนังสือบนรถเมล์ บางคนชอบอ่านหนังสือก่อนนอน บางคนชอบอ่านหนังสือไปด้วยดูทีวีหรือฟังเพลงไปด้วย บางคนขาดไม่ได้ที่จะต้องอ่านหนังสือเวลาเข้าห้องน้ำ บางคนชอบอ่านหนังสือเวลาเครียด แนะนำเทคนิควิธีการในการอ่านหนังสืออย่างนักคิด พูดง่ายๆคืออ่านหนังสืออย่างไรจึงจะทำไห้เราได้ทั้งความรู้และพัฒนาศักยภาพทางความคิดไปในตัวด้วยนั่นเอง

หนังสือคือเชื้อเพลิงทางความคิด

มีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าคนทุกคนมีศักยภาพในการคิดที่ไม่แตกต่างกัน แต่พลังทางความคิดของใครจะสูงส่งกว่ากันนั้นอยู่ที่ว่าใครสามารถสร้างพลังงานทางความคิดได้ดีกว่ากันมากกว่า พลังงานทางความคิดมาจากไหน ก็มาจากการจุดเชื้อเพลิงทางความคิด ถ้าจะถามต่อไปอีกว่าเชื้อเพลิง ทางความคิดมาจากไหน ก็มาจากการฟัง พูด อ่าน เขียนนั่นเองครับ ในที่นี้ผมจะขอพูดถึงเชื้อเพลิง ที่มาจากการอ่านก่อนนะครับ ในขณะที่เรากำลังอ่านหนังสืออยู่นั้น สมองของเรากำลังถูกลนด้วยไฟทางความคิดของผู้เขียนทำให้ความคิดของเราอ่อนตัวลง (คล้อยตามความคิดผู้เขียน) ช่วงเวลานี้ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีที่เราจะขึ้นรูปทางความคิดใหม่ โดยอาศัยพลังงานจากการอ่านไป เพิ่มเติมและปรับเปลี่ยนความคิดเดิม หรือสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ทางความคิดใหม่ๆขึ้นมา ดังนั้น ในขณะอ่านหนังสืออย่าเพียงอ่านเพื่อให้รู้ว่าเขาเขียนว่าอะไรเท่านั้น แต่จงหยุดอ่านเป็นช่วงๆ เพื่อให้สมองได้มีเวลาคิดบ้าง เช่น อ่านจบแต่ละบท แต่ละตอนให้หยุดคิดสัก 1-2 นาที แล้วค่อยอ่านต่อ

บันทึกความคิดระหว่างการอ่าน

ขอให้คิดเสมอว่าหนังสือหนึ่งเล่มที่เรากำลังอ่านนั้น เป็นการลงทุนทางความคิด ดังนั้น เราจงหากำไรจากการอ่านให้มากที่สุด โดยการจดบันทึกความคิดที่มันวิ่งไปวิ่งมาในสมองของเรา จะสังเกตได้ว่าในขณะที่อ่านหนังสือไม่ว่าหนังสือประเภทไหน แม้กระทั่งการอ่านหนังสือพิมพ์ ในสมอง ของเราจะมีความคิดบางอย่างเกิดขึ้น บางครั้งเป็นความคิดที่เกิดขึ้นชัดเจน บางครั้งเป็นความคิดที่แว๊บขึ้นมาแล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว ประเด็นสำคัญอยู่ที่เราสามารถจับเอาความคิดที่แว๊บไปแว๊บมานั้นได้มากน้อยเพียงใด ผู้อ่านส่วนใหญ่ไม่ค่อยใส่ใจกับจุดนี้เท่าใดนัก จึงทำให้การอ่านเป็นเพียงการอ่านเพื่อรู้ แต่ยังขาดประเด็นเรื่องการอ่านเพื่อคิด ผมอยากแนะนำให้พกปากกาหรือดินสอติดตัวเสมอในระหว่างการอ่านหนังสือ เมื่อเราจับความคิดอะไรได้ ขอให้บันทึกไว้หน้าแรกหรือหน้าสุดท้ายของหนังสือ เมื่อเราอ่านจบเล่มแล้ว สิ่งที่เราบันทึกนั่นแหละคือกำไรแห่งชีวิตในการอ่านหนังสือ และผมคิดว่าความคิดที่เราคิดได้ในระหว่างการอ่านนั้นอาจจะมีค่ามากกว่าราคาของ หนังสือแต่ละเล่มก็ได้

อย่าอ่านเอาเรื่อง แต่จงอ่านเอาความคิด

การอ่านโดยทั่วไปคือการอ่านเอาเรื่อง เพื่อจะรู้ว่าเรื่องนั้นๆเป็นอย่างไร แต่การอ่านแบบนักคิด จะต้องอ่านตัวหนังสือเพื่อสื่อไปถึงเจตนารมย์ของผู้เขียนว่า จริงๆแล้วผู้เขียนต้องการสื่อความคิด อะไรออกมา หรือถ้าสามารถสาวไปถึงความคิดของผู้เขียนได้ก็จะยิ่งดีมากครับ ผมอยากจะบอกว่าตัวหนังสือที่เราอ่านนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความคิดของผู้เขียนที่ถูกกรั่นกรองออกมาแล้ว เท่านั้น แต่กว่าที่เขาจะเขียนออกมาได้นั้น เขาต้องมีความคิดมากกว่าที่เขียนอย่างแน่นอน ผมคิดว่า ถ้าเราอ่านแค่เพียงตัวหนังสือหรืออ่านเอาเรื่องนั้น เรา(ในฐานะผู้อ่าน) คงจะมีความรู้และความคิดน้อยกว่าผู้เขียนอย่างแน่นอน ดังนั้น ถ้าเราอยากจะเป็นผู้อ่านที่เป็นนักคิดด้วยนั้น เราจะต้องเข้าถึงแนวคิดที่แท้จริงของผู้เขียนและต้องต่อยอดแนวคิดของผู้เขียนให้ได้

นำดอกผลทางความคิดไปใช้งาน

เมื่อเราบันทึกความคิดจากการอ่านหนังสือแต่ละเล่มไว้แล้ว อย่าลืมนำเอาความคิดที่ได้ระหว่างการ อ่านไปใช้งาน เพราะมิฉะนั้น ความคิดเหล่านั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร วิธีการนำเอาไปใช้ก็สามารถทำได้หลายวิธี เช่น การนำไปใช้เป็นแนวทางในการเขียนหนังสือ บทความ การนำไปใช้ในการพัฒนาปรับปรุงงาน การนำไปใช้ในการถ่ายทอดสู่ผู้อื่น การนำไปใช้ในการพัฒนาตัวเอง พัฒนา ลูกน้อง หรือบางคนอาจจะไปใช้ในการสร้างอาชีพใหม่ ซึ่งเทคนิคการนำเอาความคิดไปใช้อาจจะ นำไปใช้ตรงๆ หรือนำเอาความคิดนั้นไปผ่านกระบวนการคิดสร้างสรรค์แบบต่างๆ เช่น การคิด ข้ามกล่อง (Lateral Thinking) โดยการผสมผสานแนวคิดที่ได้จากการอ่านเข้ากับแนวคิดในเรื่องใด เรื่องหนึ่งเพื่อก่อให้เกิดความคิดใหม่ที่ดีกว่าเดิม

สรุป การอ่านหนังสือแบบนักคิดนั้นแตกต่างจากการอ่านหนังสือแบบผู้อ่านทั่วๆไปตรงที่เราใช้หนังสือเป็นบันไดในการก้าวไปสู่ความคิดของผู้เขียน ในขณะเดียวกันเราก็ใช้หนังสือเป็นเชื้อเพลิงในการจุดไฟเพื่อส่องสว่างทางความคิดให้กับเราเดินไปสู่ความคิดใหม่ที่เป็นของตัวเราเอง เราต้องคิดเสมอว่า ถ้าเราอ่านเพียงเพื่อรู้ เราจะเป็นได้เพียงผู้ตามเท่านั้น แต่ถ้าเราอ่านเพื่อคิด เราสามารถก้าวเป็นผู้นำ(ทางความคิด)ได้อย่างแน่นอน

ในการทำหนังสือใครจะเชื่อล่ะว่าปกคือส่วนที่ได้รับงบน้อยที่สุด

10

ปัจจุบันนี้ประเทศญี่ปุ่นที่โดยปกติแล้วจะขึ้นชื่อเรื่องการให้เกียรติรุ่นพี่ในที่ทำงานหรือการทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอนตามระบบ จะสนใจหนังสือแนวที่เรียกว่า “การสร้างชื่อให้ตนเอง” อย่างมาก เราเรียกหนังสือแบบนี้ว่าหมวด Personal Branding โดยเป้าหมายของหนังสือแบบนี้มาจากการตั้งคำถามของคนญี่ปุ่นในใจว่า ทำไมเราต้องเห็นคนกระจอกๆ ได้รับเลือกให้มีตำแหน่งดีๆ ทั้งๆ ที่เราเก่งกว่า นำไปสู่คำตอบที่ว่า “ก็เขาพรีเซนต์ตัวเองเก่งกว่าไงเหตุนี้คนญี่ปุ่นเลยพยายามหาหนังสือแบบนี้มาอ่านเพื่อปรับปรุงตัวเองแบบเนียนๆ นี่คือเรื่องใหม่มากของญี่ปุ่น ต่างจากในไทยมากที่ต่างคนพยายามพรีเซนต์ตัวเองกันสุดๆ เป็นแบบนี้มานานแล้วด้วย น้ำไว้ก่อนว่าไม่ใช่เรื่องผิดเลย มันเป็นเรื่องปกติของการทำงานเพียงแต่เราต้องเป็นคนที่ไม่โตขึ้นโดยการเหยียบหัวใคร ทำอะไรให้สุจริตเท่านั้นเอง

ปกหนังสือญี่ปุ่นแน่นอนว่าบางทีเราอาจจะแทบไม่เคยเห็นเพราะมันมักจะถูกห่อหุ้มด้วยปกกระดาษของแต่ละร้านค้าเพื่อความเป็นส่วนตัวของผู้อ่าน ในที่นี้นั่นเรามาดูรายละเอียดกันสักนิดหนึ่ง ตอนนี้นั้นกระแสของการห่อปกมีน้อยลงบ้าง เพราะแต่ละคนพบว่าการห่อปก แน่นอนว่ามันจะช่วยทำให้ปกจริงๆ ไม่เปื้อนและยังปิดไม่ให้คนอื่นรู้ด้วยว่าตนอ่านอะไร แต่หลายเจ้าที่พอเปิดออกมาก็พบว่า อ้าวปกเละแน่นอนว่าศาตร์โอริกามิทำให้การพับปกดูเท่มากที่ไม่ต้องพึ่งพาตัวยึดเลยแม้แต่นิดเดียว แต่หากมันมีช่องว่างเพียงน้ดเดียว หรือปกบางส่วนขาด สำหรับหนังสือในยุคปัจจุบันนี้ มีโอกาสปกเสียขึ้นมากเพราะอะไร ไปดูหัวข้อต่อไปกัน

ในการทำหนังสือใครจะเชื่อล่ะว่าปกคือส่วนที่ได้รับงบน้อยที่สุด เขาให้เวลาและให้ทุนไปกับการหาข้อมูลเนื้อหาภายในกันมากกว่า ทีนี้หากเราสังเกตกัน คือคนทำปกกับคนทำตัวเล่มเนี่ยมันแยกกัน (ปกญี่ปุ่นส่วนใหญ่จะเป็นกระดาษปกครอบตัวเล่มอีกทีนึง) ทีนี้พวกหนังสือแบบนี้เนี่ยถ้าเราแกะปกกระดาษออก จะพบว่าปกที่ติดกับตัวเล่มผลิตอย่างโคตรลงทุนเลยล่ะ!! ยกตัวอย่างล่าสุดมีเล่มนึงเกี่ยวกับการท่องเที่ยวญี่ปุ่น ปกนอกแบบเชยมากสีแดงๆ มีรูปวัดวาอารามดอกซากุระ แต่พอแกะปกออกมาดูเท่านั้นแหละ ข้างในเป็นลายตารางสีขาว-แดง สุดชิค ให้อารมณ์เหมือนพิมพ์ประชดคนทำปกกระดาษ 555 เล่มอื่นๆ ก็เหมือนกัน ลองไปแกะมาดูกันได้

การอ่านนั้นสามารถส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาของระบบสมอง

33

การอ่านเป็นปัจจัยสำคัญ ที่สามารถช่วยให้สังคมไทย พัฒนาไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ การอ่านนั้นเป็นสิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ ในทุกๆปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการคิด หรือกระทำสิ่งใดนั้น ย่อมต้องอาศัยการอ่านเป็นสำคัญวัยรุ่นไทยนับได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีบทบาทเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ ความสามารถในการอ่านเป็นอย่างดี เพื่อที่จะเป็นกำลังสำคัญของชาติในการพัฒนาประเทศให้ก้าวไปสู่ความเป็นสากลมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่จะเห็นได้ว่าปัจจุบันนี้มีสื่อหลากหลายรูปแบบ ทั้งที่มีประโยชน์ และเพื่อความบันเทิง วัยรุ่นไทยสามารถที่จะเลือกอ่านในสิ่งที่ตนเองชอบ และสนใจได้อย่างกว้างขวาง สื่อที่วัยรุ่นไทยเลือกอ่านนั้น ส่วนใหญ่มักเป็นสื่อ ประเภทบันเทิง ฉาบฉวย และหวือหวา ซึ่งสื่อเหล่านี้ นับว่าเป็นสื่อที่เข้ามามีบทบาทต่อการอ่าน ของวัยรุ่นไทยเป็นอย่างมาก การอ่านนั้นมีความจำเป็นต่อคนทุกระดับ เพราะไม่ว่าใครก็จำเป็นที่จะต้องอ่านกันทั้งนั้น เช่นการอ่านแผ่นป้ายโฆษณา การอ่านข้อความ การอ่านหนังสือพิมพ์ การอ่านคำกล่าวรายงาน หรือแม้กระทั่งการอ่านเรื่องใกล้ตัวอย่างชื่อของตนเอง เป็นต้น

การอ่านนั้นสามารถส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาของระบบสมอง เพราะเมื่อคนเราอ่านมากเท่าไร สมองก็จะสามารถจดจำและพัฒนาได้มากขึ้นเท่านั้น การอ่านเพื่อพัฒนาการที่ดีนั้น ควรเริ่มตั้งแต่วัยเยาว์ การได้พบ ได้ฟัง ได้พูด หรือได้อ่านนั้นเปรียบเสมือนการได้ฝึกฝนทักษะการอ่านเบื้องต้นเป็นอย่างดี การอ่านโดยทั่วไปมีจุดประสงค์สำคัญคือ เป็นการอ่านเพื่อเก็บความรู้ เป็นการอ่านเพื่อจดจำเอาสาระสำคัญต่างๆมารวบรวมกันไว้เป็นความรู้รอบตัว เพื่อจะสามารถนำไปใช้ได้ในโอกาสต่างๆ การอ่านเพื่อวิเคราะห์ คือ การอ่านโดยพิจารณาส่วนต่างๆ ของบทเพื่อให้เกิด ความเข้าใจอย่างละเอียดถี่ถ้วนต้องอ่าน ซ้ำหลายๆครั้ง เหล่านี้มักใช้ในการอ่านหนังสือเชิงวิชาการ  การอ่านเพื่อตีความ เมื่ออ่านรู้เรื่องแล้วก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตีความ การตีความนั้นมักเป็นไปตามประสบการณ์ และ ความรู้สึกของผู้อ่านแต่ละคน เมื่ออ่านได้ตามจุดประสงค์สำคัญดังกล่าวแล้ว ก็ยังจะต้องมีการประเมินค่าในสิ่งที่อ่านด้วย การประเมินค่า คือ การชี้แจงบอกกล่าวว่าสิ่งไหนมีความดีด้านใด บกพร่องในด้านใด สำหรับการประเมินค่าต้องพิจารณารูปแบบสื่อที่อ่านนั้นให้ดีเสียก่อน แล้วจึงพิจารณาว่า จุดประสงค์ในการสร้างสรรค์ของสื่อนั้นคืออะไร เมื่อจะประเมินค่าสิ่งที่ได้อ่าน ต้องพิจารณารูปแบบ และจุดประสงค์ในการผลิต การประเมินค่าของเราไม่คำนึงว่าจะถูกต้องหรือไม่ ตรงกับความคิดเห็นของใครและควรพิจารณาส่วนต่างๆ ของสื่อที่อ่านอย่างละเอียดถี่ถ้วน

กิจกรรมส่งเสริมการอ่านและจัดมุมหนังสือสำหรับเด็ก 0-6 ปี

4คนในปัจจุบันไม่ได้ให้ความสำคัญกับหนังสือ เนื่องจากมีสื่อและสิ่งเร้าต่างๆที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมากขึ้นพบว่าเด็กไทยอ่านหนังสือลดลงเกือบทุกวัน เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม ความเป็นอยู่ การศึกษาและค่านิยมต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมรวมทั้งสภาพแวดล้อมในปัจจุบันอีกด้วย ในขณะเดียวกันการเรียนรู้สิ่งต่างๆในสังคมนั้นไม่ได้มาจากการอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่หากจะมีสื่อชนิดอื่นที่มีอิทธิพลเพิ่มขึ้นมาในสังคมอีกมากมาย เช่น อินเตอร์เน็ต อีเมล์ มือถือคอมพิวเตอร์แบบพกพา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ และความสามารถสืบค้นหาความรู้จากสื่อนั้นได้ไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านวิชาการ บันเทิง หรือประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ทุกคนมีช่องทางในการค้นหาความรู้มากขึ้นเป็นผลให้เด็กไทยอ่านหนังสือน้อยลงและหันมาศึกษาหาความรู้จากด้านอื่นมากขึ้น

เด็กไทยเริ่มมีความสนใจในการอ่านหนังสือน้อยลง เมื่อเปรีบเทียบกับอดีต อาจจะเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงในยุคโลกาภิวัฒน์ ซึ่งมีการสื่อสารอย่างไร้พรมแดน แต่ละประเทศก็มีการพัฒนาให้ประเทศของตัวเองมีประสิทธิภาพทั้งในด้านทรัพยากรมนุษย์ เศรษฐกิจ และสิ่วแวดล้อม เมื่อโลกเกิดการเปลี่ยนแปลงการรับรู้ข่าวสารก็สะดวกกว่าอดีตอย่างมาก แต่ละประเทศมีการพัฒนาในด้านต่างๆ รวมไปถึงการพัฒนาเพื่อยกระดับด้านการศึกษาของประเทศตัวเอง เพราะถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการจะสร้างทรัพยากรมนุษย์ภายในประเทศให้มีประสิทธิภาพ มีความรู้ ที่จะสามารถมาพัฒนาประเทศได้ในอนาคต ซึ่งในการพัฒนาด้านการศึกษาของแต่ละประเทศก็มีลักษณะกฏเกณฑ์ที่แตกต่างกันออกไป แล้วแต่ประชากรในประเทศว่ามีความใส่ใจสนใจแค่ไหน

การผลักดันนโยบายหนังสือและการอ่านสำหรับเด็กปฐมวัย 0-6 ปี ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมจะเป็นการแก้ไขปัญหาการเรียนหนังสือด้อยประสิทธิภาพและการอ่านหนังสือไม่ออกของเด็กไทยในระยะยาว เนื่องจากการปลูกฝังนิสัยรักการอ่านในเด็กวัย 0-6 ปี มีข้อมูลยืนยันแล้วว่าจะช่วยทำให้เด็กอ่านหนังสือได้โดยอัตโนมัติก่อนเข้าโรงเรียน เพราะสมองของเด็กในวันนี้เติบโตสูงสุดกว่า 80% ของชีวิตมนุษย์ และทำให้เด็กมีนิสัยรักการอ่านติดตัวไปจนโต ช่วยให้เด็กเกิดจินตนาการ มีโลกทัศน์อันกว้างใหญ่ เกิดทักษะด้านภาษา และมีอุปนิสัยที่พึงประสงค์ของสังคม

เทคโนโลยีกับวิถีการอ่านของวัยรุ่น

จับกระเเสการอ่านหนังสือของวัยรุ่นไทยท่ามกลางยุคสมัย ” เทคโนโลยีนิยม ” ของท่านผู้นำประเทศคนปัจจุบัน ก็คงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าวิถีการอ่าน…ของวัยรุ่นยุคนี้ เริ่มเข้าสู่มุมมืดมากขึ้นทุกที จากผลการวิจัยล่าสุดพบว่าประชาชนคนไทยเฉลี่ยเเล้วอ่านหนังสือกันค่อนข้างน้อย คือ ๖ บรรทัดต่อปี แต่กลับดูทีวีมากถึง ๓ ชั่วโมง๕๐ นาทีต่อวัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะยุคกระเเสบริโภคนิยม ผนวกกับยุคเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการเสพข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัย จึงกลายเป็นทางเลือกใหม่ในการบริโภคข่าวสารให้กับประชาชน โดยเฉพาะวัยรุ่นที่หลงใหลในเทคโนโลยีจนกลายเป็นกระเเสเเฟชั่น “ ซึ่งนับว่าเป็นจุดอันตรายอย่างยิ่ง” ของคนที่จะขึ้นไปสู่พลพรรคปัญญาชนในสังคม

ภายใต้กฎเกณฑ์กระเเสสังคมอิเล็กทรอนิกส์ หากจะมองอีกเเง่มุมหนึ่ง มันก็คงไม่ผิดมากนักเพราะประดิษฐกรรมเหล่านี้ล้วนเเล้วแต่ถูกคิดเเละสร้างสรรค์มาจากหัวสมองของมนุษย์ที่มุ่งหวังจะพัฒนาวัตถุอันเกิดจากจินตนาการที่บรรเจิดเพริศเเพร้วขึ้นมาเพียงเพื่อสนองความต้องการของตน

หากลองเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาเเล้ว หรือกำลังพัฒนาบางประเทศจะเห็นได้ว่าประชากรส่วนใหญ่ ให้ความสนใจในการอ่านหนังสือกันมาก ซึ่งนอกจากจะเป็นการยกระดับคุณภาพทางด้านต่าง ๆ แล้วยังถือเป็นบรรทัดฐานของการเรียนรู้เเละเป็นฐานในการพัฒนา โดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่มสาวก็ยังนิยมท่องโลกด้วยตัวอักษรของหนังสือมากกว่าการท่องโลกด้วยอักษรของหน้าจอคอมพิวเตอร์ เเต่สิ่งที่ปรากฎกับวัยรุ่นไทยอยู่ในขณะนี้กลับสวนทางกับกระแสโลก นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ต้องกลับมาขบคิด

หลายครั้งที่ต้องตั้งคำถามกับตัวเองในสิ่งที่ได้พบเห็นกับวิถีการอ่าน…ของวัยรุ่นในยุคนี้ว่า ทำไมเหล่าวัยโจ๋วัยจ๊าบถึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องของการอ่านหนังสือทั้ง ๆ ที่หนังสือจะเป็นตัวเพิ่มพูนสติปัญญาให้พวกเขาได้ฉลาดรอบรู้ เสริมสร้างแนวความคิดให้เเตกฉานในการดำเนินชีวิต เเละเเยบยลในการเเก้ปัญหาต่าง ๆ ของเเต่ละช่วงจังหวะชีวิต เเล้ววัยรุ่นยุคนี้ เขาเสพหรือเเสวงหาความรู้มาเป็นอาหารสมองกันอย่างไร ?

การอ่านหนังสือเตรียมสอบอย่างง่ายๆและได้ผลอีกด้วย

การทำความเข้าใจและจดจำบทเรียนนั้นเป็นเทคนิคง่ายๆ นักศึกษาสามารถนำไปปฏิบัติได้ทุกคน ขอแต่เพียงเข้าใจเคล็ดลับวิธีการเท่านั้นเอง หัวใจสำคัญของการทำความเข้าใจและจดจำบทเรียน คือการหมั่นฝึกฝนตามขั้นตอนให้เกิดความเคยชินจนติดกลายเป็นนิสัยการอ่านเพื่อทำความเข้าใจนี้จะแตกต่างจากการอ่านเพียงเพื่อท่องจำ เนื่องจากหลายคนอาจจะเคยมีปัญหาเกี่ยวกับการอ่านหนังสือว่าอ่านยังไงก็จำไม่ได้ หรือจำได้นิดเดียวก็ลืมแล้ว ซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นนี้อาจจะมาจากการที่เรายังไม่มีหลักในการอ่านหนังสือที่ดี หรือยังขาดสมาธิในการอ่านหนังสือก็เป็นได้

เวลาอ่านแล้วต้องจับจุดสำคัญของเรื่องที่เราอ่านให้ได้ อาจใช้วิธีการทำไฮท์ไลท์โดยขีดเส้นใต้ที่เนื้อหานั้นๆหรือใช้ปากกาสีที่แตกต่างจากสีตัวหนังสือที่อ่านอยู่ระบายทับข้อความที่เราเห็นว่าสำคัญจริงๆจุดที่สำคัญของเนื้อเรื่องนั้นๆ สังเกตได้ว่ามักจะเกี่ยวข้องกับชื่อหัวเรื่อง มีการกล่าวซ้ำข้อความดังกล่าวบ่อยครั้งในเนื้อหาวิชา หรืออาจจะมีการพิมพ์ตัวหนังสือที่แตกต่างไปจากตัวหนังสืออื่น เช่นพิมพ์เป็นตัวหนา ตัวเอียง ฯลฯ การย่อหรือเขียนข้อความที่สำคัญเพื่อเป็นการป้องกันอาการง่วงนอนได้อีกทางหนึ่ง เราควรมีการเขียนโน๊ตย่อเฉพาะข้อความที่สำคัญ สรุปลงในสมุดต่างหาก เน้นเฉพาะที่สำคัญจริงๆ

เทคนิคการอ่านหนังสือเตรียมสอบ

1. อ่านเป็นกลุ่มดีกว่า เพราะการอ่านคนเดียวอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน ถ้าอ่านเป็นกลุ่มโอกาสอ่านผิดจุดจะยากขึ้น และยังพอช่วยกันฉุดได้
2. อ่านมาก่อนจากบ้าน แต่ละคนต้องรับผิดชอบตัวเองมาก่อน ควรอ่านเองที่บ้านก่อน 1 รอบ และจับกลุ่มติว เสร็จแล้วกลับไปอ่านทบทวนเองที่บ้านอีก 1 รอบ
3. ผลัดกันติว ใครเข้าใจเรื่องใดมากที่สุดก็ให้เป็นผู้ติว ข้อสำคัญ อย่าคิดแต่จะเป็นผู้รับอย่างเดียว จงคิดว่าเป็นผู้ให้ก่อน แล้วคนอื่นก็จะให้ตอบเอง
4. เป็นการทบทวนเนื้อหา ผู้ติวจะได้ทบทวนเนื้อหา และจะรู้ว่าตัวเองขาดอะไร บกพร่องอะไร จากคำถามของเพื่อนที่สงสัย
5. แชร์ความคิด การติวจะทำให้เกิดการแชร์ความคิด และฝึกวิธีทำงานร่วมกับผู้อื่น

เทคโนโลยี Tablet กับการอ่านหนังสือ


เหตุผลที่ Tablet PC กำลังเป็นที่นิยมในขณะนี้ นั่นเพราะประโยชน์อันหลากหลาย และรูปแบบที่ทันสมัย พกพาได้สะดวกสบาย จะใช้ต่ออินเตอร์เน็ตก็ได้ ถ่ายรูปก็ดี เป็นแหล่งค้นคว้าหาความรู้ เช็คข้อมูลข่าวสาร อ่านหนังสืออิเลคทรอนิคส์หรือ E-Book ก็ยังได้ แต่ประโยชน์สุดๆ ของเจ้า Tablet PC นี้คือการใช้อ่านหนังสืออิเลคทรอนิคส์ หรือ E-Book สำหรับท่านที่ยังไม่คุ้นเคยกับคำว่าE-Book  คือ เจ้า E-Book นี่ก็หน้าตาเหมือนกันกับหนังสือที่พิมพ์เป็นเล่มๆ บนกระดาษนี่ล่ะ  แต่จะต้องอ่านผ่านหน้าหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือหน้าจอของ Tablet PC   ซึ่งมีขนาดหน้าจอใหญ่พอๆ กับหนังสือจริงๆ เลยทีเดียว อีกทั้งยังสามารถอ่านได้ในที่มืดได้อีกด้วยโดยใช้แสงสว่างจากจอเข้ามาเป็นตัวช่วย

ปัจจุบันนี้เริ่ม มีการใช้ Tablet PC ในแวดวงการศึกษากันอย่างคึกคักเลยทีเดียว ตัวอย่งเช่นในรัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ถึงขั้นลงทุนซื้อ Table PC แจกให้กับนักเรียนเพื่อใช้แทนหนังสือในรูปแบบเดิมๆ  ทั้งนี้เพราะTablet PC จะช่วยประหยัดงบประมาณในการจัดพิมพ์หนังสือและตำราเรียนได้อย่างมากมาย อีกทั้งยังทำให้การปรับปรุงเนื้อหาตำราเรียนสามารถทำได้อย่างทันท่วงที โดยไม่ต้องรอหนังสือเป็นเล่มๆ หมดแล้วค่อยพิมพ์ใหม่แบบเดิมๆ อีกต่อไป  เพราะหนังสือต่างๆ ที่อยู่บน Tablet PC นั้นล้วนแล้วแต่เป็นหนังสืออิเลคทรอนิคส์ที่ถูกเก็บไว้ในรูปดิจิตอล จึงสามารถแก้ไขเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา

Tablet PC หนึ่งเครื่องนั้นสามารถบรรจุหนังสือได้เป็นพันๆ เล่ม โดยผู้อ่านสามารถเลือกเล่มไหนขึ้นมาอ่านก่อนก็ได้ ความสามารถพิเศษอีกอย่างหนึ่งของTablet PC คือการเชื่อมโยงครูอาจารย์ และนักเรียนนักศึกษา เข้าด้วยกันผ่านทางระบบอินเตอร์เน็ต ทำให้ข้อจำกัดเรื่องสถานที่ในการเรียนการสอนหมดไป ครูอาจารย์ และนักเรียนนักศึกษา สามารถอยู่กันคนละที่แต่เข้ามาเรียนพร้อมกันแบบเห็นหน้าเห็นตาผ่านทางกล้องที่ถูกติดตั้งมาบนTablet PC ได้  จึงทำให้การเรียนการสอนทางไกลเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย และเข้าไปถึงกลุ่มคนทุกชั้นไม่ว่าจะอยู่ในชนบทห่างไกลแค่ไหนก็ตาม

สำหรับในประเทศไทย สถาบันอุดมศึกษาหรือมหาวิทยาลัยบางแห่งเริ่มมีการแจก Tablet PC ให้กับนักศึกษาใหม่แล้ว แต่การนำไปประยุกต์ใช้ยังไม่มีทิศทางที่ชัดเจนแน่นอนเพราะยังต้องอาศัยการพัฒนาโปรแกรมมารองรับรวมทั้งเนื้อหาตำราในรูปแบบ E-Book ที่จะต้องมีจำนวนมากกว่านี้  ในขั้นนี้ Tablet PC ในไทยจึงอาจเป็นได้แค่เครื่องมือที่ไว้จูงใจนักศึกษาหรือสร้างภาพลักษณ์ทันสมัยให้กับมหาวิทยาลัยก่อน แต่ในอนาคต เมื่อราคาจำหน่ายของ Tablet PC ถูกลงกว่านี้จะมีจำนวนของหนังสือตำราเรียนต่างๆ ทยอยเข้าสู่E-Book มากขึ้น รวมทั้งจะมีการพัฒนาโปรแกรมเพื่อรองรับการอ่าน E-Book แบบไทย ๆ มากขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นTablet PC จะกลายเป็นช่องทางใหม่ ที่เปลี่ยนรูปโฉมการเรียนการสอนและการกระจายความรู้ให้เข้าถึงคนไทยได้อย่างมากมายมหาศาลเลยทีเดียว