เวลาที่เพื่อนๆอ่านหนังสือมักจะเป็นตอนกลางคืนใช่ไหมคะ เราก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ชอบอ่านตอนกลางคืน และเราก็มักจะง่วงก่อนที่เราจะอ่านหนังสือจบอยู่บ่อยๆ ว่าแต่เพื่อนๆรู้ไหมว่า จริงๆแล้วเวลาไหนเป็นเวลาที่ดีที่สุดในการอ่านหนังสือ ในทางวิทยาศาสตร์ด้านสมองเขาบอกว่า การท่องหนังสือในเวลากลางคืนเป็นสิ่งที่ไม่แนะนำค่ะ เพราะว่าเวลากลางคืนเป็นเวลาที่เราควรนอนหลับ ซึ่งการนอนหลับ สมองของคนเราจะมีการจัดระเบียบความทรงจำและบันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่เราตื่นนอนจนเราเข้านอนค่ะ ซึ่งการจำอะไรให้มีประสิทธิภาพ ก็จำเป็นต้องนอนให้เพียงพอด้วย ส่วนเวลาที่เหมาะสมในการจำนั่นก็คือ เวลาช่วงเช้านั่นเองค่ะ เพราะการจัดระเบียบความจำเกิดขึ้นตอนที่เรานอนหลับ เพราะฉะนั้นสมองของเราในช่วงเช้าจะปลอดโปร่ง เหมาะสำหรับการใช้งานอย่างเต็มที่ ซึ่งถ้าอ่านหนังสือช่วงนี้ได้ ก็เรียกว่าการจำก็จะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นค่ะ แถมยังเป็นช่วงที่เหมาะสำหรับงานที่ต้องใช้การสร้างสรรค์หรืองานเขียนต่างๆ อีกด้วยนะ
เคยมีคนบอกว่าเวลาที่ดีที่สุดคือตอนเช้าเพราะร่างกายเราได้พักผ่อน รวมทั้งสมองก็ได้พัก มีการจัดระเบียบเรียบร้อย เพื่อให้พร้อมกับการใส่ข้อมูลใหม่ ๆ เข้าไป อันนี้เป็นเรื่องจริง แต่สำหรับคนที่ตื่นเช้าไม่ไหว เวลาดึก ๆ ที่เงียบ ๆ ก็เหมาะ คือว่ามันเงียบไงสมองเราก็สามารถคิดสิ่งต่างๆ ได้ดี แต่อาจจะไม่เท่าตอนเช้า เพราะสมองเราต้องเหนื่อยจากการเรียนมาแล้วทั้งวัน บางคนยังมีการเรียนพิเศษตอนเย็นอีก สำหรับตัวเราเอง อ่านตอนกลางคืนสักนิด ได้เท่าไหนก็แค่นั้น 5 ทุ่มต้องเข้านอน แล้วก็ตั้งนาฬิกาปลุกตอนตี 3 ตี 4 ตี 5 แนะนำให้ตั้งนาฬิกาปลุกก่อนเวลาที่ต้องตื่นไปสักครึ่งชั่วโมง เพื่อที่เราจะได้มีเวลาเกลือกกลิ้งอยู่บนที่นอนก่อนสักพัก ถึงค่อยลุกไปล้างหน้าล้างตา มานั่งอ่าน ขอย้ำว่าควรทำให้ตัวเองตื่นเต็มที่ก่อนจะอ่าน เพราะไม่งั้นเดี๋ยวก็หลับคาหนังสืออีกจนได้
เวลาที่ไม่เหมาะสำหรับการอ่านหนังสือเรียนเลย คือ ช่วงบ่ายหลังจากกินข้าวเสร็จอิ่ม ๆ เคยได้ยินสุภาษิตไทยที่ว่า “พอหนังท้องตึง หนังตาก็หย่อน” ไหม ช่วงบ่ายจะเป็นช่วงที่คนเรามีความง่วงนอน อ่านไปก็หลับ ยิ่งหนังสือเรียนด้วย และไม่ควรนอนอ่านหนังสือ โดยเฉพาะบนเตียง ขอบอกว่าหลับแน่ๆ ไม่ใช่อ่านนิยายนี่ มันจะน่าติดตาม จนอยากอ่านให้จบ เรามีเพื่อนคนหนึ่ง เขาบอกว่าหนังสือเรียนคือยานอนหลับขนานเอก เห็นจะจริง อ่านไม่กี่หน้าก็หลับแล้วการอ่านควรจะเป็นในสถานที่ที่สงบ เงียบ และสมองเราพร้อมที่จะรับเรื่องใหม่ ๆ นั่นแหละการอ่านถึงจะได้ผลสูงสุด


พอพูดถึงการอ่านแล้วหลายคนถึงกับมีอาการ(ง่วงนอน) เพราะนิสัยไม่ชอบอ่านมาตั้งแต่เด็ก บางคนชอบอ่านเป็นบางครั้ง บางเรื่อง บางเวลา และบางอารมณ์ แต่ในขณะที่บางคนเป็น “หนอนหนังสือ” เห็นตัวอักษรที่ไหน เมื่อไหร่ พลาดไม่ได้จะต้องขออ่านไว้ก่อน ถ้าวันไหนไม่ได้อ่านหนังสือมันเหมือนกับชีวิตขาดอะไรบางอย่างไป และพฤติกรรมการอ่านหนังสือของแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันไปตามความชอบของแต่ละคน บางคนชอบอ่านหนังสือบนรถเมล์ บางคนชอบอ่านหนังสือก่อนนอน บางคนชอบอ่านหนังสือไปด้วยดูทีวีหรือฟังเพลงไปด้วย บางคนขาดไม่ได้ที่จะต้องอ่านหนังสือเวลาเข้าห้องน้ำ บางคนชอบอ่านหนังสือเวลาเครียด แนะนำเทคนิควิธีการในการอ่านหนังสืออย่างนักคิด พูดง่ายๆคืออ่านหนังสืออย่างไรจึงจะทำไห้เราได้ทั้งความรู้และพัฒนาศักยภาพทางความคิดไปในตัวด้วยนั่นเอง

คนในปัจจุบันไม่ได้ให้ความสำคัญกับหนังสือ เนื่องจากมีสื่อและสิ่งเร้าต่างๆที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมากขึ้นพบว่าเด็กไทยอ่านหนังสือลดลงเกือบทุกวัน เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางด้านสังคม ความเป็นอยู่ การศึกษาและค่านิยมต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมรวมทั้งสภาพแวดล้อมในปัจจุบันอีกด้วย ในขณะเดียวกันการเรียนรู้สิ่งต่างๆในสังคมนั้นไม่ได้มาจากการอ่านหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่หากจะมีสื่อชนิดอื่นที่มีอิทธิพลเพิ่มขึ้นมาในสังคมอีกมากมาย เช่น อินเตอร์เน็ต อีเมล์ มือถือคอมพิวเตอร์แบบพกพา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนความรู้ และความสามารถสืบค้นหาความรู้จากสื่อนั้นได้ไม่ว่าจะเป็นความรู้ด้านวิชาการ บันเทิง หรือประสบการณ์ต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้ทุกคนมีช่องทางในการค้นหาความรู้มากขึ้นเป็นผลให้เด็กไทยอ่านหนังสือน้อยลงและหันมาศึกษาหาความรู้จากด้านอื่นมากขึ้น
จับกระเเสการอ่านหนังสือของวัยรุ่นไทยท่ามกลางยุคสมัย ” เทคโนโลยีนิยม ” ของท่านผู้นำประเทศคนปัจจุบัน ก็คงไม่ผิดนักถ้าจะบอกว่าวิถีการอ่าน…ของวัยรุ่นยุคนี้ เริ่มเข้าสู่มุมมืดมากขึ้นทุกที จากผลการวิจัยล่าสุดพบว่าประชาชนคนไทยเฉลี่ยเเล้วอ่านหนังสือกันค่อนข้างน้อย คือ ๖ บรรทัดต่อปี แต่กลับดูทีวีมากถึง ๓ ชั่วโมง๕๐ นาทีต่อวัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะยุคกระเเสบริโภคนิยม ผนวกกับยุคเทคโนโลยีที่เอื้อต่อการเสพข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัย จึงกลายเป็นทางเลือกใหม่ในการบริโภคข่าวสารให้กับประชาชน โดยเฉพาะวัยรุ่นที่หลงใหลในเทคโนโลยีจนกลายเป็นกระเเสเเฟชั่น “ ซึ่งนับว่าเป็นจุดอันตรายอย่างยิ่ง” ของคนที่จะขึ้นไปสู่พลพรรคปัญญาชนในสังคม






